ข้อมูล Encephalartos dyerianus
ข้อมูลควรรู้เกี่ยวกับต้น Encephalartos dyerianus (แปลมาจากหนังสือที่มาจาก South Africa)
Encephalartos Dyerianus
![Encephalartos dyerianus](https://www.king-encephalartos.com/wp-content/uploads/2020/11/IMG_20200511_182215-scaled.jpg)
สายพันธุ์นี้ได้ถูกอธิบายในปี ค.ศ. 1988 โดย John J.Lavranos และ Douglas L.Goode และภายหลังไม่นาน ในปี ค.ศ. 1988 เดียวกัน P.J.(Hannes) Robbertse,Piet J.Vorster และ Suzelle van der Westhuizen ได้เรียกสายพันธุ์นี้ว่า” Encephalartos graniticolus ” โดยในตำรา “Dyerianus” เป็นเกียรติแก่ Robert Allen Dyer ซึ่งได้อธิบายสายพันธุ์ปรง South Africa หลายสายพันธุ์และเป็นผู้นำใน The botanical Research Institute of South Africa for many years
Habitat :
สายพันธุ์นี้ถูกจำกัดแค่ 2 กลุ่มก้อนหินแกรนิตที่โตขึ้นมา ในพื้นที่ The eastern part of Limpopo ค่อนไปทาง Kruger nation park โดยแยกเป็น 1. ใกล้กับเขต Mica 2. พื้นที่อื่นๆใกล้กับ Gravelotte พืชชนิดนี้จะเกิดขึ้นใน savannah ระหว่างก้อนหินใหญ่บนผิวดินที่เป็นทราย พื้นที่นี้จะมีประมาณ 700 เมตรเหนือระดับน้ำทะเลและรับปริมาณน้ำฝนได้ 400-500 มิลลิเมตร ซึ่งฝนจะตกเป็นหลักของปีในช่วงหน้าร้อน สายพันธุ์นี้ไม่เคยถูกละเลย และถูกนำเสนอทำให้มีความเสี่ยงต่อการสูญพันธุ์เป็นอย่างมากโดยนักสะสมได้มีความต้องการเป็นอย่างสูง ปัญหาเลวร้ายที่เกิดขึ้นโดยไม่มีเมล็ดที่เกิดจากการผสมซึ่งอธิบายเด่นชัดถึงการขาดของแมลงที่เหมาะสมในการนำเกสรไปผสม
Cultivation
สายพันธุ์นี้เติบโตอย่างช้าๆแต่สามารถแพร่พันธุ์ได้อย่างง่ายดายโดยมาจากเมล็ดและหน่อ มันเติบโตได้ดีเมื่อมันได้รับแสงเต็มวันและมันสามารถต้านทานได้จนถึงแบบน้ำแข็งเกาะที่ใบและลำต้น
ลำต้น(Stem) เป็นปรงที่มีขนาดกลางถึงใหญ่
ลำต้นจะตั้งขึ้นไปในอากาศและลำต้นเมื่อมันยาวขึ้นมันอาจจะโน้มเอียงที่จะกลับมาคลานอยู่บนดินบางครั้งอาจจะชูยอดขึ้น เมื่อลำต้นบางส่วนของลำต้นจะไม่มีกิ่งก้านสาขาโดยสายพันธุ์นี้ปกติจะมักจะเกิดหน่อ ลำต้นสามารถยาวขึ้นไปได้มากกว่า 6 เมตรบนดินและเส้นผ่านศูนย์กลาง 400-600 มิลลิเมตร ลำต้นจะถูกปกป้องโดยผิวของรูปแบบของใบที่ฐานล่างจำนวนมาก
ก้านใบทั้งหมด(Leaves)
สายพันธุ์นี้เป็นหนึ่งใน The southern Africa cycad ทั้งหมด หนึ่งในสิ่งที่สำคัญในสายพันธุ์นี้คือความหนาแน่นของใบที่ชี้ขึ้นไปบนฟ้าและให้ร่มเงาข้างล่างของต้น ทั้งสองด้านของใบจะมีลักษณะคล้ายกันคือมีสี Pale bluish-green ก้านใบย่อยทั้งหมดจะไม่มีขน ก้านแข็ง เมื่อมองดูภายนอกจะเห็นว่าก้านใบล่างจะบิดโค้งอย่างแข็งๆสำหรับระยะทางสั้นๆที่เกิดขึ้นเหนือฐานใบล่างเท่านั้น ส่วนข้างในจะเกิดการบิดโค้งอย่างอ่อนโยนระหว่างส่วนที่เหลือของความยาว ก้านใบทั้งหมดจะมีความยาว 1.25-1.7 เมตร
pp-angle จะเพิ่มจาก 60°-80° ที่ปลายยอดของก้านเพิ่มขึ้นเป็น 150°-180° ที่ฐานใบล่างของก้านใบ
pr-angle จะเพิ่มจาก 20°-30° ที่ปลายยอดของก้านเพิ่มขึ้นเป็น 70°-80° ที่ฐานใบล่างของก้านใบ
s-angle จะเพิ่มจาก 0° ถึง +15° ที่ปลายยอดของก้านเพิ่มขึ้นทีล่ะน้อยเป็น +20° ถึง +30° ที่ฐานใบล่างของก้านใบ
Petiole จะไม่เกิดขึ้น แต่ว่าถ้ามีสามารถสูงได้ถึง 60 มิลลิเมตร
ใบย่อยจะเป็นแบบไม่มีใบไหนใบหนึ่งซ้อนซึ่งกันและกัน แต่ถ้ามองในองศาจะเป็นแบบใบล่างทับใบบนเล็กน้อยมากทั้งหมดเท่านั้น basal collar จะเป็นสีน้ำตาล(brown) ซึ่งปกติอาจจะดูไม่สะดุดตาเพราะว่าเมื่อสายพันธุ์นี้มีขนาดใหญ่จะถูกปกคลุมด้วย cataphyllsของปลายยอดลำต้น
Median leaflets ยาว 170-240 มิลลิเมตร ความกว้าง 10-18 มิลลิเมตร ผิวใบเป็นแบบหนัง(leathery)และปราศจากปุ่มที่ผิวใบ(nodules) ผิวใบด้านบนของใบจะมีการโค้งเว้า(concave) ทั้งแนวขวางและแนวยาว ใบที่มีอายุมากจะเอนลงขนาดกับแนวนอนจะเกิดขึ้นเมื่อใบที่อยู่ล่างสุดที่ติดกับผิวหน้าดิน ใบย่อยจะไม่มีหนามที่ขอบใบและใบจะไม่หนา ที่ปลายใบย่อยจะเป็นหนามแหลม
Basal leaflets จะลดรูปจากใบขนาดปกติลงไปเป็นขนาดใบเล็กลงเรื่อยๆหลายๆใบ
Cones จะปรากฏในช่วงเดือนธันวาคม
Male cones เริ่มต้นจะมีน้ำเงินอมสีเขียวแต่หลังจากนั้นจะเปลี่ยนเป็นสีเหลือง สามารถขึ้นมาได้ถึง 8 cones จะผลิตขึ้นมาต่อฤดูต่อต้น ขนาดทั่วไปของ cones ความยาว 270-500 มิลลิเมตร และเส้นผ่านศูนย์กลาง 90-120 มิลลิเมตรด้วยมี Peducle ขนาด100-170 มิลลิเมตร pollen shedding จะเกิดขึ้นระหว่างเดือนกุมภาพันธ์ถึงเมษายนเมื่อเกิด cones แล้ว มันต้องใช้เวลาในการพักเพื่อเก็บพลังแต่กลิ่นมันไม่เป็นที่พึงพอใจ
Female cones จะเริ่มต้นเป็นสีเขียวต่อจากนั้นจะเปลี่ยนเป็นสีเขียวแกมเหลืองในภายหลัง สามารถขึ้นมาได้ถึง 5 Cones จะผลิตขึ้นมาต่อฤดูต่อต้น The cones จะมีความยาว 300-600มิลลิเมตร และเส้นผ่านศูนย์กลาง 100-240 มิลลิเมตรด้วย a peducle มีความยาว 60-120 มิลลิเมตร มันจะถูกบดบังอย่างมิดชิดจาก cataphyllsของยอดลำต้น Cones ที่เพิ่งตัดมาสดๆจะมีน้ำหนัก 9 กิโลกรัมจะมีประมาณ 140 sporophylls และ the apical sterile sporophylls จะประกอบด้วย 9%ของsporophyllsทั้งหมด Cones จะไม่สลายตัวในธรรมชาติแต่ว่าปกติจะแห้งไปทีล่ะน้อยระหว่างเดือนมิถุนายนจนถึงกรกฎาคม เมื่อมีประมาณ 230 omnucles แล้วถูกแยกออกโดย sporophylls แต่ว่าที่เหลือที่ไม่สามารถถูกผสมเป็นจำนวนมากที่อยู่ภายในซึ่งจะถูกตากจนแห้งใน Cone
Seeds
มีสีน้ำตาลอ่อน(khaki) มีความยาว 41-45 มิลลิเมตร และเส้นผ่านศูนย์กลาง 30-37 มิลลิเมตร ด้วย sarcotesta ชี้ว่าประมาณ 11%
Seed kernals
จะมีขนาด 36-41 มิลลิเมตร และเส้นผ่านศูนย์กลาง 24-28 มิลลิเมตร Seed kernals มีทั้งสองด้านของความยาวที่เป็นเหลี่ยมและเป็นแนวสันแต่ว่าทั้งหมดนี้ที่อธิบายมาจะเป็นตัวบ่งชี้ว่าคุณภาพเมล็ดจะแย่
![encephalartos dyerianus](https://www.king-encephalartos.com/wp-content/uploads/2020/12/Photo_1607093955482-scaled.jpg)
Note
ในการอาศัยอยู่ในธรรมชาติจะเกิดปรากฎการณ์ที่ว่าสายพันธุ์นี้จะทิ้งช่วงสูงเหมือนเสากระโดงเรือ ตามที่ J.C. Oosthuyzen (personal communication) กลุ่มของสายพันธุ์นี้จะไปในรูปแบบเสากระโดงเรือโดยมีระยะเวลาประมาณ 5 ปี แม้จะมีการผลิต Conesออกมาเป็นจำนวนมากระหว่างช่วงหลายปีและแม้แต่ความใกล้ชิดของ Conesของสองเพศ แต่จำนวนน้อยมากที่จะเปลี่ยนจาก Ovules มาเป็น fertilised
สำหรับการสรุปการอธิบายในหลายลักษณะที่ถูกใช้ในการจำแนกของ
Encephalartos dyerianus ,Encephalartos dolomiticus,Encephalartos middleburgensis,Encephalartos eugene-maraisii อ่านได้จากNote ของ Encephalartos dolomiticus
ส่วนข้อแตกต่างระหว่าง Encephalartos Dyerianus กับ Encephalartos Lehmannii
เมื่อหัวเกิน 15 cm. จะเริ่มมีลักษณะใกล้เคียงกันแต่จุดบ่งชี้
- ขนาดของใบ Encephalartos Dyerianus จะใบใหญ่กว่า
- Encephalartos Dyerianus ก้านใบจะบิดเป็นเกลียว
- ผิวใบ Encephalartos dyerianus ไม่มีความขรุขระที่เรียกว่าปุ่มเล็กๆบนใบ
- รูปแบบใบ Encephalartos dyerianus จะแบนราบ Encephalartos Lehmanniiจะห่อนิดหน่อยเหมือนเรือแต่ปลายแหลม
- หัว(caudex) Encephalartos Dyerianusจะเป็นสีน้ำตาล แต่หัว Encephalartos Lehmannii จะเป็นสีน้ำตาลแดง
- สีที่ใบของ Encephalartos Lehmannii จะเป็นสีฟ้าสวย แต่ Encephalartos Dyerianus ฟ้าอมเขียวหรือ Pale bluish-green
- Encephalartos dyerianus เมื่อหัวมีขนาดใหญ่จะไม่สามารถมองไปทะลุที่ปลายยอดลำต้นได้