ข้อมูล Encephalartos Ghellinckii

ข้อมูล Encephalartos ghellinckii (แปลมาจากหนังสือ South Africa)

G.H.Lemaire อธิบายในสายพันธุ์นี้ในปี 1867 ตำราที่เขียนเป็นเกียติให้แก่ Edward de Ghellinck de Walle , เป็นนักพฤษศาสตร์สมัครเล่นด้วยความที่เป็นนักสะสมเอกชนที่เก่งมากใน Ghent Belgium

Habitat :

สายพันธุ์นี้เกิดขึ้น 3 พื้นที่

1. ทางเหนือของ TransKei ของ The Eastern Cape มีทั้ง Giant Form และ Dwarf Form  ความหนาแน่นเกิดในบริเวณพื้นที่ของ Flagstaff และ Tabankulu ตั้งแต่ตีนเขาจนถึงระดับมากกว่า 1000 เมตรเหนือน้ำทะเล ของเทือกเขา Darkensberg บนผิวหน้าดินที่ลาดชัน

2.Giant form หรือ Montane Form เป็นฟอร์มที่มีขนาดใหญ่ พบว่าเกิดในทุ่งหญ้าไม่สูงเหนือระดับน้ำ 1500-2300 เมตร ในบริเวณพื้นที่ของ Mont-aux ของ KwaZulu-Natal Drakensberg

3.Dwarf Form หรือ Lowland Form เติบโตบริเวณตีนเขา Drakensberg ในบริเวณที่เก็บกักน้ำของ Umkomaas ของ KwaZulu-Natal มันเกิดในความลาดเอียงทิศตะวันออกและทิศใต้ในพื้นที่เล็กๆที่ความสูง 700 เมตรเหนือน้ำทะเล

ทั้งหมดนี้ชีวิตความเป็นอยู่โดยอาจถูกไฟป่าเผาเป็นช่วงๆ หน้าหนาวอากาศหนาวจัดโดยทั้วไปจะเกิดน้ำแข็งเกาะและเกิดหิมะขึ้นเป็นประจำ อัตราฝนตก 1000-1250 มิลลิเมตรเป็นส่วนใหญ่ที่มักจะเกิดในหน้าร้อน กลุ่มพืชสายพันธุ์ที่ว่านี้สามารถเข้าไปถึงได้ง่ายสำหรับภายใต้แรงกดดันความต้องการอย่างมากจากนักสะสม

หมายเหตุ Dwarf Form ที่เกิดขึ้นที่ตีนเขาจะมีจำนวนมากกว่า Giant Form ถ้าคิดเป็นเปอร์เซนต์ สมมุติสายพันธุ์นี้มี 100 ต้น Dwarf Form เป็น 90 ต้น  Giant Form 10 ต้น

Cultivation :

เป็นหนึ่งในสายพันธุ์ที่มาจาก South africa เท่านั้น สายพันธุ์นี้ขึ้นชื่อว่าเติบโตช้ามากๆ และมีความยากมากต่อการย้ายสถานที่ปลูก เพราะว่าหลังจากย้ายใบย่อยกับรากจะถูกตัดออกในการขนส่ง ถ้าไม่เอาใบออกก่อนใบของต้นขนาดใหญ่จะแห้งลงหลังจากการเคลื่อนย้าย เมื่อทำการย้ายสำเร็จเสร็จสมบูรณ์แล้ว มันจะเริ่มที่จะฟื้นตัวได้ถึง 5 ปีก่อนที่มันจะเกิดใบใหม่ผลิตขึ้นแตกใบออกมา ภายใต้รูปแบบทางธรรมชาติ เมื่อโตเต็มที่สายพันธุ์นี้จะผลิใบออกมาหลังจากผ่านไป 3-5 ปี และสายพันธุ์นี้เป็นสายพันธุ์ที่ยากมากต่อการเกิด cones ในสภาวะที่อยู่ในสวนของนักสะสม บางทีสถานที่ที่สร้างเป็นสวนของพันธุืพืชนี้ อาจจะไม่เหมาะสมกับหลายๆสายพันธุ์ และการเติบโตที่ดีเหมือนผักในสภาวะที่มีความกว้าวของแต่ล่ะอากาศในสภาวะนั้นๆ ต้นไม้พันธุ์นี้ชอบมากในสภาวะเป็นกรดอ่อนๆในแสงแดดแบบอ่อนๆหรือแสงแดดเต็มเมื่อขนาดใหญ่ มันสามารถทนอากาศหนาวเย็นได้เป็นอย่างดีแต่ว่ามันจะถูกโจมตีได้บ่อยครั้งโดยพวกแมลง

ลำต้น(stem) :

มี 2 Form ของสายพันธุ์นี้ที่ถูกบันทึกอย่างไม่ใช่ทางการ โดยมีชื่อว่า “Giant form” และ “Dwarf form” ทั้งสองพันธุ์นี้จะมีลำต้นที่ขึ้นไปในอากาศ ลำต้นจะตั้งตรง ซึ่งไม่มีกิ่งก้านเหนือพืชดินแต่จะผลิตหน่อออกมาเป็นจำนวนมาก ผลก็คือเมื่อมีขนาดใหญ่ขึ้นจะปีนเกาะกับต้นแม่ ลำต้นของ “Giant form” สามารถยาวได้ถึง 3 เมตร ด้วยเส้นผ่านศูนย์กลาง 300-400 มิลลิเมตร และที่ปลายยอดของเค้าจะถูกปกคลุมด้วยขนสีน้ำตาล ลำต้นทั้งหมดของสายพันธุ์นี้จะเกิดขึ้นที่ Transkei จะมีน้อยมากและลำต้นมักจะโค้งเอียงเป็นจำนวนมากๆ โดยบางครั้งอาจจะนอนอยู่บนดินปลายยอดชูขึ้นสู่อากาศมากกว่าที่จะตั้งตรงขึ้นไปในอากาศในพื้นที่ Drakensberg โดยปลายยอดcataphylls จะมีขนที่ปกคลุมน้อยกว่าพืชสายพันธุ์นี้หลายชนิดที่เติบโตในความสูงเท่าๆกัน ลำต้นของ “Dwarf form” จะเติบโตได้ช้ามาก และเติบโตนานกว่า สามารถยาวได้ 1 เมตร มีเส้นผ่านศูนย์กลาง  250-350 มิลลิเมตร ปลายยอดลำต้นไม่มีขนแต่จะปกคลุมโดย cataphylls สีเทาอ่อน

Edward de Ghellinck de Walle เป็นนักวิทยาศาสตร์ที่ชอบศึกษา พืชที่มีความสวยงามในเมือง Ghent ประเทศ Belgium

การเติบโตของปรงแอฟริกาสายพันธุ์นี้ เป็นสายพันธุ์ที่โตช้ามากสายพันธุ์หนึ่ง เพราะว่าเป็นสายพันธุ์ที่ใบเล็กเมื่อเทียบกับสายพันธุือื่นที่ใบใหญ่กว่า เป็นสายพันธุ์หนึ่งที่มี Cones ยากมากๆสายพันธุ์หนึ่ง เป็นต้นไม้ชนิดหนึ่งที่อยู่ในสวนจะมีความสวยงามมาก จะโตได้ดีเมื่อสภาพอากาศที่เหมาะสม   โดยต้องการแดดบางๆอ่อนละมุนอบอุ่นมันชอบมาก หรืออุณหภูมิไม่เกิน 30 องศาในสภาวะ Full Sun และสภาพดินเป็นกรดอ่อนๆ แต่ถ้าอุณหภูมิหนาวมากๆสามารถอยู่ได้เป็นอย่างดีแถมแอบชอบมากด้วย มักเกิดขึ้นที่ตามหินตรงบริเวณหน้าผาหิน

ชื่อเรียกทั้ง 2 form คือ

1. Giant form หรือ Montane Form มีลำต้นสูงประมาณ 3 เมตร เส้นผ่านศูนย์กลาง 300-400 มิลลิเมตร โดยสามารถเล็กและใหญ่ได้ขึ้นอยู่กับการเลี้ยงดู

2.Dwarf form หรือ Lowland Form หายากและโตได้ไม่ถึง 1 เมตร เส้นผ่านศูนย์กลาง 250-350 มิลลิเมตร

ส่วนของใบย่อยทั้งหมด(Leaves) :

ใบของ Giant Form เริ่มจากมีลักษณะขนภายนอกเป็นสีน้ำตาล(Brown hair)หรือสีน้ำตาลทอง(Golden Brown hair) ในขณะที่ Dwarf Form ขนภายนอกเป็นสีขาว(white hair) ทั้งสองกรณีนี้ ขนที่ปรากฎขึ้นนั้นจะเกิดตอนแตกใบมาใหม่ที่ใบขยายเต็มที่ทำให้เห็นสีของขน และใบที่ขึ้นมาใหม่ที่ขยายเต็มที่แล้ว ด้านหน้าใบจะมีสีเขียวแก่จนถึงสีเหลืองอมเขียวก็ได้ ด้านหลังใบจะมีสีอ่อนกว่าหน้าใบ ก้านใบ(rachis)ทีแรกจะเป็นสีเหลืองอ่อน และโครงสร้างใบจะชี้ขึ้นบางที ก้านใบยาวได้ถึง 1 เมตรเลยทีเดียวสำหรับ Giant Form แต่สำหรับ Dwarf Form จะยาวได้สูงสุดประมาณ 0.8 เมตร

pp-angle ทั้งสอง form 180°-240°

pr-angle จะเพิ่มจาก 30°-40°  leaf apex(ปลายใบ) ไป 70°-90° จนถึงโคนก้านใบไปทาง petiole

s-angle เป็นที่ทำให้ประมาณได้ว่าจะมีค่า -10° ถึง -40° ใบย่อยจะไม่ถูกทับซ้อนจากใบใดใบหนึ่ง

ก้านใบเมื่อมีอายุมากขึ้นจะแห้งและค่อยๆแห้งไปที่โคนใบทางแนวราบของลำต้นทีล่ะนิดใช้เวลาหลายปี

Petiole 90-180 มิลลิเมตร

Median leaflets 80-140 มิลลิเมตร และกว้าง 2-4 มิลลิเมตร ของ ” Giant Form” ใบที่ยาวที่สุดจะประมาณ 80-100 มิลลิเมตร และกว้าง 1.5-3 มิลลิเมตร ของ ” Dwarf Form” และมีช่องว่างระหว่างใบย่อย 3-4 มิลลิเมตร

ในทั้ง 2 Form ใบทั้งหมดจะมีผิวใบคล้ายหนัง(leathery)และไม่มีปุ่ม(nodules) ไม่มีหนามที่ขอบใบแต่จะมีการงอลงที่ขอบใบ ทางตามยาวใบทั้งหมดจะตรงหรือเว้าเล็กน้อยบนผิวใบบน ปลายใบย่อยจะแหลมคม

Basal  Leaflets :

ใบจะลดขนาดลงแค่ 1-2 ใบสุดท้าย (decrease in size to 1-2 spine at most)

 

Cones :

ทั้ง Male Cone และ Female Cone จะมีได้ 1-5 cones ต่อฤดูต่อต้น แต่ที่ปรากฎจะไม่มีระยะของก้านดอกของ cones เพราะว่าก้านดอกที่สมบูรณ์จะเห็นไม่เด่นชัดโดยมี cataphylls ของปลายยอดลำต้นปกคลุม Conesที่เกิดขึ้นจะมีความหนาแน่น ทนทาน และจะมีขนปกคลุมที่ conesสีเหลือง

Male Cone ยาว 180-300 มิลลิเมตร เส้นผ่านศูนย์กลาง 60-80 มิลลิเมตร Pollen shedding ตรงบริเวณนั้นจะเกิดในเดือนพฤษจิกายน

Female Cone ยาว  130-250 มิลลิเมตร เส้นผ่านศูนย์กลาง 120-150 มิลลิเมตร  omnules จะถูกผสมด้วย sporophylls ระหว่างเดือนธันวาคม-เดือนกุมภาพันภ์และ 95-370 omnules จะถูกผลิตออกมาจาก cone

 

เมล็ด(Seeds) :

   จะมีสีเหลือง 25-30 มิลลิเมตร เส้นผ่านศูนย์กลาง 15-20 มิลลิเมตร และ sarcotesta ชี้ว่าได้ 7.5%

Seed kernals

มีความยาวขนาด 23-28 มิลลิเมตร  และ เส้นผ่านศูนย์กลาง 13-18 มิลลิเมตร

ขยายพันธุ์ทาง เมล็ดและตัดหน่อ

Note

หมายเหตุ เป็นชนิดเดียวของปรงแอฟริกาที่มีใบแคบสุดและใบจะชี้ขึ้นไม่เหมือนชนิดอื่น ทำให้ไม่สับสนกับชนิดอื่นๆ

แต่บางทีสายพันธุ์นี้อาจจะสับสนกันปรงญี่ปุ่น( Cycas revoluta)ได้ชนิดหนึ่ง

 

เรียงลำดับความหายากในกลุ่มที่มีลักษณะคล้ายกันนี้คราวๆ เพื่อนักสะสมได้เรียนรุ้กัน

1. Encephalartos Ghellinckii  Giant Form

2.Encephalartos Cycadifolius

3.Encephalartos Humilis

4. Encephalartos leavifolious kaapsehoop

5.Encephalartos Ghellinckii  Dwarf Form

6.Encephalartos Friderici-Guilielmi

7.Encephalartos Lanatus

 

© 2000:Mr.Prince Farm, All Rights Reserved | Awesome Theme by: D5 Creation | Powered by: WordPress