ข้อมูล Encephalartos heenannii

Encephalartos heenannii

(ได้แปลมาจากหนังสือ South africa)

The Makonywa, Ngwenya และ Big Buffalo ช่วงที่เป็นส่วนหนึ่งของที่สุดมีความอันตรายส่วนใหญ่ทางด้านตะวันออกของ the south eastern Transvaal Drakensberg พื้นที่ตรงนี้เป็นบ้านของสัตว์และพืชหลายชนิด รวมถึงสายพันธุ์ของปรง Encephalartos ทั้งสามชนิดที่หายากใน south africa คือ Encephalartos paucidentatus ,Encephalartos laevifolious และ Encephalartos heenannii สิ่งที่บ่งชี้เป็นอันดับแรกในเวลาต่อมาของสายพันธุ์   การดำรงอยู่ที่กลับมาจากการค้นคว้าทำงานของ  Mr.Denis Heenan ในthe piggs Peak ในอาณาบริเวณ Swaziland ในปี 1969  การแบ่งหมวดหมู่การการเติบโตในความใกล้ชิดถึงจำนวนที่มีมากของEncephalartos paucidentatus ,Encephalartos laevifolious และคิดเป็นอันดับแรกว่าไม่ได้มองข้ามว่ามันอาจจะเป็นการผสม(hybrid)กันระหว่าง 2 สายพันธุ์ที่แตกต่างกัน ไม่มีข้อมูลอะไรสำหรับความคิดที่พบนี้ อย่างไรก็ตาม Cones ที่เกิดขึ้นเป็นตัวบ่งชี้ของสายพันธุ์ มันไม่สามารถบ่งชี้ได้จนถึงปี ค.ศ.1971 กลุ่มทีมงานของ Mr.Heenan และลูกของเขาที่ชื่อ David ได้ค้นพบ Coneที่เกิดขึ้นใหม่ ซึ่งได้ส่งให้ Dr.A Dyer ที่ Botanical Research Institute

สายพันธุ์นี้ถูกอธิบายในปี ค.ศ.1972 โดย Robert Allen Dyer. ชื่อนี้ที่เรียกต้องให้เกียรติแก่ Denis Heenan ผู้ซึ่งนำสายพันธุ์นี้นำกลับมาพิจารณาที่ the Botanical Reseach Institute ใน Pretoria

มันได้ปรากฎว่า  สายพันธุ์นี้ไม่เคยถูกละทิ้งและเป็นที่ต้องการของนักสะสม ในระยะเวลาหลายๆปีต่อมาก่อนที่จะอธิบายเป็นรูปแบบ form หลังจากนั้นได้มีการลดจำนวนลงในป่าที่มันอาศัยจนใกล้จะสูญพันธุ์ สายพันธุ์พืชได้ถูกปกป้องและอนุรักษ์ใน Somgimvelo Nature Reserve(RSA) และ the Malolotja Nature Reserve in Swaziland. ระหว่างที่มีการค้นหว้าในช่วงปี ค.ศ. 1985 มันถูกพบว่ามีจำนวนถึง 500 ต้นที่มีชีวิตหลงเหลืออยู่ในธรรมชาติ ปรงบางชนิดได้ถูกจับถึงจินตนาการของนักสะสมดังเช่น Encephalartos heenanii มันได้ปรากฎว่าถ้าในบริเวณแถบพื้นดินที่เข้าไม่ถึง แต่ได้ถูกคนขโมยในพื้นที่ของคนอื่นโดยไม่มีเครื่องที่จะยับยั้งโดยมีการจ้างเฮลิคอปเตอร์ในการขโมยตัวอย่างที่ขนาดโตเต็มที่ มันเป็นการบอกถึงเรื่องราวที่ว่ามีตัวอย่างที่โตเต็มที่ของสายพันธุ์นี้ในเรื่องเพาะปลูกมากกว่าในธรรมชาติ  สายพันธุ์นี้อาจจะพิจารณาจากการถูกคุกคามและการเสียหายที่ใกล้จะสูญพันธุ์โดยผู้มีอำนาจทางการอนุรักษ์ นี่เป็นเหตุผลหลักกำหนดโดย the taxon’s การจำกัดอย่างรุนแรง การกระจาย แรงกดดันจากนักสะสมจำนวนมาก มันไร้ความสามารถในการสืบพันธุ์ การขยายพันธุ์ระหว่างชนิดที่มีการผสมข้ามสายพันธุ์ การอาศัยโดยการบุกรุกโดยการทำกิจกรรมทางป่าไม้ การเพาะปลูกและการใช้ทำยาและความเป็นไปได้ที่จะเอามาป้องกันสิ่งที่ทำให้เกิดเชื้อโรคเชื้อรา มีโครงการการอนุรักษ์อย่างเข้มข้นที่ถูกเริ่มต้นใน the Lowveld National Botanical Garden และมันเป็นความหวังที่ว่าสายพันธุ์นี้จะถูกปกป้องจากการสูญพันธุ์ในธรรมชาติ

การอยู่อาศัย(HABITAT) : เป็นสายพันธุ์ที่อยู่ในพื้นที่ลาดเอียงมากๆในพื้นหญ้าที่ไม่สูงมากนักขึ้นในหมู่บ้านที่อยู่ข้างในลึกๆระหว่างชนพื้นเมืองในป่าที่ระดับความสูง 1300-1600 เมตรเหนือระดับน้ำทะเล สายพันธุ์นี้เจริญเติบโตที่ตำบล the piggs peak ใน the northwest of swiziland และได้ใกล้กับตำบล barberton ใน Mpumalaga ใน South africa ที่ซึ่งมีพืชได้เกิดขึ้นในพื้นที่ 56000 hetare(1 เฮกตาร์เท่ากับ 100 เอเคอร์ หรือ 10000 ตารางเมตร = 6 ไร่ 1 งาน) Songimvelo Park ที่นั่นมันต้องใช้กำลังเป็นอย่างมากในการปกป้องป้องกันจากผู้บุกรุกที่จะมาทำลายโดยกลุ่มต่างๆที่เป็นคนในท้องถิ่นภายใน 5 ปีหลังจากนั้นสายพันธุ์นี้ได้ถูกอธิบายออกมา ปริมารฝนที่ตกในพื้นที่บริเวณนี้ประมาณ 1250 มิลลิเมตรและส่วนใหญ่จะตกในหน้าร้อน

การเพาะปลูก(Cultivation) : พืชสายพันธุ์นี้เป็นสายพันธุ์หนึ่งที่โตช้ามากๆแต่สามารถขยายพันธุ์ได้โดยการแตกหน่อและเมล็ด เมื่อโตเต็มที่แล้วสามารถรับแสงแดดอ่อนๆได้ดีและยังชอบมากหรือแบบเต็มวันก็พอได้ (light shade or full sun)และยังเติบโตภายใต้น้ำแข็งเกาะที่ใบ ยกเว้นว่าสายพันธุ์นี้จะพยายามรักษาไว้โดยพิจารณาถึงสัดส่วนของรากและปริมาณดินที่เกาะติดรากไปในการขนย้าย เมื่อโตเต็มที่จะง่ายมากในการสูญเสียระหว่างการขนย้ายในขั้นตอนกระบวนการนี้

ลำต้น(Stem)

รูปแบบของสายพันธุ์นี้จะไม่กิ่งก้าน ลำต้นตั้งตรงขึ้นไปในอากาศซึ่งจะมีการออกเป็นหน่อที่ว่าผลที่ว่าในการเติบโตของหลายลำต้นที่จะปีนขึ้นไป เหนือพื้นดินนั้นลำต้นสามารถยาวได้ถึง 3 เมตรและเส้นผ่านศูนย์กลาง 250-300 มิลลิเมตร ปลายยอดจะถูกปกคลุมด้วยขนสีน้ำตาลอย่างหนาแน่น ความยาวของลำต้นจะทาให้ลำต้นกลับมาในแนวนอน

ใบย่อยทั้งหมด( Leaves)

รูปแบบของสายพันธุ์นี้ได้เป็นการยอมรับอย่างไม่เป็นทางการ โดยชื่อมี 2 รูปแบบ 1. Short-leaf form และ 2. Long leaf form  ใบที่ยังอ่อนอยู่ของทั้งสองแบบปรากฎว่าสีน้ำเงินอ่อนโดยจะมีขนสีน้ำตาลเทาปกคลุมที่ผิว แม้ว่าขนทั่งหมดจะค่อยๆหลุดออกไป ใบย่อยทั่งหมดจะกลับมาสมบูรณ์แบบไม่มีขน แม้ว่าบนผิวใบของใบย่อยทั้งหมดได้รับความเงางามที่ปรากฎ ใบที่สมบูรณ์แข็งแล้วจะมีสีเขียวแก่บนผิวใบบนและสีเขียวอ่อนซีดกว่าและบางกว่าที่ด้านหลังใบ ก้านใบรวมทั้งหมดที่เรียกว่า “Short leaf” จะมีความยาว 95-105 cm และที่เรียกว่า “long leaf” จะมีความยาว 125-176 cm  ก้านใบย่อยทั้งหมดจะมีก้านที่แข็งและยกขึ้นและเมื่อมองที่ในก้านเข้ามาค่อนข้างจะมีการบิดเกิดขึ้น

The pp-angle ของ short form จะมีค่ากว่าเป็นพิเศษค่านั้นอาจจะมีค่าถึง 330°  ผ่านทางความยาวของใบ

The pp-angle โดยทั่วไปในทั้งสอง form จะมีค่ามากกว่า 100° และที่ใช้ทั่วไปคือ  150°-270° ผ่านทางความยาวของใบ

The pr-angle ในทั้งสอง form จะเพิ่มจาก 30° ที่ปลายใบย่อย และเพิ่มขึ้นถึง 50°-90° ที่ฐานใบย่อย

The s-angle ในทั้งสอง form จะประมาณได้  -10° ถึง -45° สำหรับหนามขอบใบจะไม่มี

ใบย่อยจะถูกทับซ้อนจากใบบนทับใบล่าง(succubously) ก้านใบหลักเมื่อแก่ลงแล้วจะค่อยๆขนานกับแนวราบบนลำต้นสำหรับอายุที่นานหลายๆปี

Petiole : ช่องว่างก้านใบจะถูกปกคลุมด้วยขนสีน้ำตาลที่ผิว และมีช่วงความยาว 150-200 มิลลิเมตร ใน “short leaf form” และใน “long leaf form” จะมีช่วงความยาว 250 มิลลิเมตร

Median leaflets : ในส่วนนี้จะมีความยาว 150-200 มิลลิเมตร ความกว้าง 15-20 มิลลิเมตร ใน “short leaf form” และใน “long leaf form” ก้านใบย่อยทั้งหมด จะมีความยาว 200-230 มิลลิเมตร ความกว้าง 20-22 มิลลิเมตร โดยใบจะมีลักษณะคล้ายหนัง(leathery) และจะมีปุ่มจำนวนมากที่หน้าใบ ขอบใบจะไม่มีหนามและก็จะไม่หนา ใบย่อยทั้งหมดจะตรงที่ปลายใบแต่บางครั้งที่กลางใบย่อยจะมีการเว้าในแนวขวาง และในทางแนวยาวของใบย่อยจะมีการเว้าบนหน้าใบเหมือนกันยกเว้นที่ฐานใบย่อยเป็นตำแหน่งที่มีลักษณะแข็งและนูนขึ้นมา เนื่องจากการที่มีการบิดตัวโค้งลงทันทีในใบย่อย สำหรับที่ด้านหลังใบจะมีเส้นตามแนวยาวที่สังเกตุได้และปลายใบจะเป็นหนามแหลม

basal leaflets : จะลดขนาดใบลงสู่ฐาน แต่ไม่ใช่ลดรูปแบบใบลงแบบ spines

Cones : The Cones ของทั้ง  Male Cone และ Female Cone จะเป็นสีเขียวสว่างแต่ว่าสีนั้นจะถูกสังเกตุได้โดยมีขนสีน้ำตาลจำนวนมากที่อยู่ภายนอกผิวซึ่งจะเป็นส่วนที่เกิดขึ้นและหายไปในเวลาต่อมาใน male cone แต่จะไม่หายไปใน Female cone  โดย Cones ที่เพิ่งเกิดใหม่ของทั้ง male cone และ  female cone เป็นมีความคล้ายคลึงกันมากๆถ้ามองแบบไม่ลึกซึ้งและในทั้ง Male Cone และ Female Cone จะมี 1-3 cones เกิดขึ้นต่อฤดูกาลต่อต้น

Male cones : ความยาว 270-300 มิลลิเมตร เส้นผ่านศูนย์กลาง  150-170 มิลลิเมตร ซึ่งจะเห็นก้านของ Cone มีความยาว 80-90 มิลลิเมตร ซึ่งจะถูกบดบังโดย the cataphylls ของปลายยอดลำต้น Pollen shedding จะเกิดขึ้นในช่วง มิถุนายนจนถึงสิงหาคม

Female cones : ความยาว 230-300 มิลลิเมตร เส้นผ่านศูนย์กลาง  170-180 มิลลิเมตร ซึ่งจะเห็นก้านของ Cone มีความยาว 50-60 มิลลิเมตร แต่ว่าทั้งหมดจะถูกบดบังโดย the cataphylls ของปลายยอดลำต้น cones disintegrate spontaneously จะเกิดขึ้นในช่วง ธันวาคมจนถึงกุมภาพันธ์ สามารถที่จะมี 210 omnules

เมล็ด(Seeds)

เป็นสีแดง สามารถยาวได้ถึง 55 มิลลิเมตร และมีเส้นผ่านศูนย์กลาง 32 มิลลิเมตร เมล็ดที่สมบูรณ์จะมีแค่ 35%ที่จะกลับมาเป็นเมล็ดที่จะสุกและเติบโตต่อไป

seed kernals :  ยาวได้ถึง 36 มิลลิเมตร และมีเส้นผ่านศูนย์กลาง 21-25 มิลลิเมตร มีลักษณะทรงที่ยาวโดดเด่น


Notes

Cones ของสายพันธุ์นี้เป็นเวลานานๆครั้งถึงเกิดครั้งนึงและไม่เคยถูกทอดทิ้ง เมล็ดและต้นกล้าที่เกิดขึ้นยากมากๆนั้นจึงมีราคาแพงมากๆ พืชทั้งหมดในป่าธรรมชาติ เติบโตเป็นจำนวนมากระหว่างที่ต้นไม้กำลังเติบโตนั้นบางสถานที่ในป่าก็จะเกิดไฟป่าขึ้นและไม่สามารถหยุดยั้งขึ้นได้ ปัญหานี้จะมีผลกระทบต่อพืชทางลบโดยตรง Conesที่กำลังจะเติบโตเพราะว่าดูเหมือนกระบวนการจะหยุดและถูกทำลายโดยทุ่งหญ้าแห่งไฟ พืชต่างๆก็จะมีช่วงใบไม้ร่วงในการอยู่อาศัยตามธรรมชาติของมันโดยถูกเจ้าตัวด้วงหรือตัวบุ้งในการทำลาย

Encephalartos heenannii hybridises กับ Encephalartos paucidentatus ที่ซึ่งมีการขยายอาณาเขตโดยกว้างขวางของพื้นที่ที่คาบเกี่ยวกัน

บางครั้งผู้ที่ชื่นชอบคาดเดาว่าเป็น “Long leaf Form”  ของ E.heenannii พบว่าลูกหลานของระยะทางในธรรมชาติที่เกิดการผสมกันมาเป็น Hybrid ระหว่าง Encephalartos paucidentatus และ the “Short leaf form”ของ E.heenannii

Encephalartos heenanii ในบางครั้งจะมีการสับสนกับ E.transvenosus และ E.paucidentatus. อย่างไรก็ตาม  E.transvenosusจะไม่มีก้านที่หลังใบของใบย่อยทั้งหมด การโค้งยกขึ้นของใบในสายพันธุ์ E.heenaniiซึ่งจะไม่มีฟันเล็กๆเกิดขึ้นที่ขอบใบและก็ไม่มีการลดขนาดรูปใบแบบ”spines”ลงสู่ฐาน ทำให้ง่ายต่อการแยกแยะจำแนกประเภทจาก E.paucidentatus โดยE.paucidentatusมีใบที่ธรรมดาแลัวจะตรงหรือใบมีการโค้งลงและใบย่อยจะมีหนามที่เป็นฟันเกิดขึ้นที่ขอบใบซึ่งจะมีใบที่ลดขนาดลงไปสู่ฐานที่เรียกว่า”spines” ใบรวมทั้งหมดของ”Short leaf form”ของ Encephalartos heenanii จะมีขนาดที่สั้นมากๆเมื่อเทียบกับ E.paucidentatus

1.ENCEPHALARTOS HEENANII  Short leaf  brown hairy

2.ENCEPHALARTOS HEENANII  Long Leaf brown hairy

ทั้ง(Short leaf และ Long leaf )

จัดเป็นสายพันธุ์ที่มีขนาด เล็กถึง กลาง

สูงได้ถึง 3 เมตร เมื่อโตเต็มที่

เส้นผ่านศูนย์กลาง 40 เซนติเมตร

ก้านยาวได้ถึง 1-2 เมตร

เกิดที่ความสูงเหนือ 1500 เมตร เกิดขึ้นที่ South-East Transvaal province of south Africa (Mpumalanga) และที่ลาดเอียงแถว Swaziland

เมื่อยามใบอ่อนจะมีขนสีน้ำตาลแดง

ใบจะไม่มีหนามขอบใบ แต่ถ้ามีจะมีประมาณ 1-2 หนามเล็กๆ

หลังใบจะมีเส้นหลังใบบางๆเพราะทุกชนิดมีอยู่แล้ว แต่เส้นหลังใบนี้จะไม่หนา เค้าเรียกว่าเส้น Veins ซึ่งจะมีความคล้ายคลึงกับกลุ่ม Transvaal แต่ถ้าเปรียบเทียบง่ายสุดจะเหมือนกับ Encephalartos Hirsutus เพราะมีขนเหมือนๆกัน

3.ENCEPHALARTOS HEENANII  Ida Doyer Silver hairy

แต่ถ้าขนเป็นสีขาวเงิน เรียกว่า Encephalartos Heenannii  Ida-Dior เป็นสายพันธุ์ที่พัฒนามาหลายล้านปี เพราะเกิดบนระดับความสูงที่ต่ำกว่า 1200 ม. เมล็ดได้มาผสมกันระหว่าง Encephalartos  Heenanniiกับ Encephalartos Paucidentatus ผสมกันมายาวนาน เกิดขึ้นที่ South-East Transvaal province of south Africa (Mpumalanga) from the Lebombo Mountains และที่ลาดเอียงแถว east of Stegi in Swaziland เพราะอยู่บนเทือกเขาเดียวกัน  เกิดในโซนเดียวกัน ไม่ว่าจะเป็น Encephalartos Heenannii(Short leaf ,long leaf,ida doyer), Encephalartos Paucidentatus, Encephalartos Aemulans  เกิดจากแหล่งบริเวณเทือกเขาตรงนี้

© 2000:Mr.Prince Farm, All Rights Reserved | Awesome Theme by: D5 Creation | Powered by: WordPress