ข้อมูล Encephalartos paucidentatus

Otto Stapfen Joseph Buru Davy อธิบายสายพันธุ์นี้ในปี ค.ศ.1926 จากตัวอย่างประเภทที่กล่าวว่ามาจากฟาร์ม Breslau ใกล้ Pontdrif ที่มีพรมแดนติดกับแม่น้ำ Limpopo ทางตะวันตกเฉียงเหนือของเทือกเขา Soutpansberg ในจังหวัด Limpopo อย่างไรก็ตาม ต้องมีข้อผิดพลาดเกิดขึ้นเนื่องจากสายพันธุ์นี้ไม่เคยพบที่ไหน ใกล้บริเวณนั้นเลย ฉายามาจากคำภาษาละติน Paucas ซึ่งแปลว่า “จำนวนเล็กน้อย” และ dentatus สำหรับ “ฟัน” และหมายถึง ใบย่อยที่มีฟันจำนวนไม่มากของสายพันธุ์นี้

Description(คำอธิบาย)

Stem(ลำต้น) ลำต้นตั้งตรงไม่แตกแขนงในอากาศ บางครั้งอาจจะเอนเอียงและสร้างหน่อได้อย่างอย่างอิสระ ลำต้นมีความยาวได้ถึง 6 เมตร และมีเส้นผ่านศูนย์กลาง 400-700 เมตร ปลายก้านหุ้มด้วย cataphyllsแข็งด้วยขนสีน้ำตาลในผิวนอกก่อนจะกลายเป็นขนสีน้ำตาลหนาทึบ ซึ่งจะมีความโดดเด่นมาก จะเกิด Cone หรือ ใบใหม่ ลำต้นได้รับการปกป้องด้วยการรูปแบบของใบขนาดใหญ่และใบขนาดเล็กสลับกันไป

Leaves(ก้านใบย่อย): เป็นสีเขียวมัมวาวที่ด้านบน ด้านล่างจะมีสีเขียวอ่อนกว่าและหมองคล้ำกว่า ใบย่อยจะมีสันตามแนวยาวด้านล่างที่โดดเด่น ก้านใบเป็นเส้นตรงแข็งและยาว 1.5-2.5 เมตร

pp-angle.pr-angle,s-angle

PP-angle มีค่า 180o-240o สำหรับใบย่อยทั้งหมด

Pr-angle มีค่า 20o-45o ที่ปลายยอดก้านใบ แต่จะมีค่า 110o-120o ในส่วนที่เหลือของใบ

S-angle มีค่าอยู่ที่ 0o ที่ปลายยอดก้านใบ และ -10o ถึง 40o สำหรับส่วนที่เหลือของใบ

ใบย่อยจะไม่มีการบังจากใบใดใบหนึ่ง

Petiole: จะมีสีเหลือง และมีความยาว 350-450 มิลลิเมตร มีฐานบวมใหญ่

median leaflets: ใบย่อยช่วงกลางก้านมีความยาว 150-250 มิลลิเมตร ความกว้าง 20-35 มิลลิเมตร ใบมีลักษณะคล้ายหนัง(leathery )และมีปุ่มเล็กๆคล้ายๆผื่นที่หน้าใบ(nodules) หนามแหลมๆที่เรียกว่า teeth สามารถเกิดขึ้นได้ที่ขอบใบ 1 หรือ 2 ซี่บนขอบใบล่าง( Phylloproximal) และจะมีประมาณ 1-2 หนามและอาจจะมีหนามเดียวที่ขอบใบบน(Phyllodistal) ซึ่งใบย่อยอาจจะมีการโค้งและโค้งกลับกลับไปอีกทางนึงก็เกิดขึ้นได้ในใบย่อย ผิวที่ด้านหน้าใบจะมีการโค้งแบบท้องเรือในแนวขวาง(concave) และโค้งนูน(convex)ในแนวยาว ปลายใบแหลมคม

Basal leaflet(ใบย่อยด้านล่าง) : ใบย่อยจะลดขนาดลงสู่ด้านล่างโดยจะเป็น หนามแบบ Spine หลายอัน

Cones: ทั้งสองเพศผลิต Cone สีน้ำตาลเหลือง 1-5 Coneต่อฤดูกาลต่อก้าน มันจะมีขนมากในช่วงแรก แต่ที่เป็นขนจะหายไปเมื่อเมื่ออายุมากขึ้น Coneจะปรากฎในเดือนกุมภาพันธุ์

Male Cone: เพศผู้ยาว 400-630 มิลลิเมตร เส้นผ่านศูนย์กลาง 120-170 มิลลิเมตร และมีก้านช่อดอกยาว 40-115 มิลลิเมตร Cone แต่ล่ะก้อนมีมวลสด 2.8-49 กิโลกรัม และ 430-740 สปอโรฟิลล์ ละอองเรณูเกิดขึ้นระหว่างเดือน กรกฎาคม-สิงหาคม

Female Cones: มีความยาว 500-620 มิลลิเมตร เส้นผ่านศูนย์กลาง 200-295 มิลลิเมตร และก้านดอกยาว 45-55 มิลลิเมตร แต่ถูกปิดบังโดยช่อดอกที่อยู่บนยอดสุดของลำต้น Coneแต่ล่ะอันมีมวลสด 18-20 กิโลกรัม และสปอโรฟิลล์ 400-440 อัน ซึ่งสปอโรฟิลล์ที่ปลายยอดมีประมาณ 18.5% Cone จะสลายไปเองตามธรรมชาติ ในช่วงมกราคมถึงมีนาคม เพื่อให้ผลผลิต 350-600 เมล็ดในCone(Omnules)

Seeds(เมล็ด): จะมีสีแดง ยาว 40-54 มิลลิเมตร เส้นผ่านศูนย์กลาง 22-25 มิลลิเมตร และมีดัชนี Sarcotesta ประมาณ 27% Sarcotesta จะกลายเป็นเมือกเมื่อสุก เมล็ดยาว 34-37 มิลลิเมตร เส้นผ่านศูนย์กลาง 18-20 มิลลิเมตร

Habitat(ที่อยู่อาศัย): สายพันธุ์นี้ถูกจำกัดให้อยู่ในพื้นที่ที่ค่อนข้างเล็กใกล้ Barberton ใน Mpumalanga และข้ามพรมแดนใกล้กับ Piggs Peak ในสวาซิแลนด์ โดยส่วนใหญ่จะเติบโตระหว่างต้นไม้ข้างลำธาร ในหุบเขาลึกหรือบนเนินหินสูงชันที่ระดับความสูงจากน้ำทะเลประมาณ 1800 เมตร ฝนตกประจำปีในพื้นที่ประมาณ 1250-1500 มิลลิเมตร และมักจะตกในฤดูร้อน จำนวนของพืชในป่าลดลงอย่างมากโดยนักสะสม แต่ส่วนมากที่รอดส่วนใหญ่ได้รับการรับรองโดยการสร้างอุทยานแห่งชาติ Songimvelo 56000 hectare

Cultivation(การเพาะปลูก): สายพันธุ์นี้เติบโตค่อนข้างเร็วแต่พืชที่เติบโตเต็มที่จะใช้เวลานานในการเติบโตและมักจะเป็นการสูญเสียหลังจากย้ายปลูก พืชเจริญเติบโตได้ดีในที่ร่มเงา ต้นไม้ที่โตเต็มที่ก็เจริญเติบโตได้ดีในแสงแดดเต็มที่ ขยายพันธุ์เป็นจำนวนมากจากเมล็ดและหน่อ

Note(หมายเหตุ): การกระจายตัวของสายพันธุ์ Encephalartos paucidentatus จะทับซ้อนกับ Encephalartos heenannii ส่งผลให้มีการผสมพันธุ์ในป่าจำนวนหนึ่ง ซึ่งบางครั้งทำให้การระบุพืชมีความซับซ้อนยากในการระบุ อย่างไรก็ตาม Encephalartos paucidentatus มีความสัมพันธุ์เกี่ยวกับความยาวและความตรงของก้านใบและใบย่อยในก้านใบ ซึ่งจะมีฟันบางส่วนและลดจำนวนลงและลดลงจนเหลือหนาม(spine)หลายซี่ ในทางตรงกันข้าม Encephalartos heenannii มีใบค่อนข้างโค้งเข้าด้านในจากฐานของพวกมันอย่างสง่างาม และมีใบย่อยทั้งหมดไม่มีหนามเป็นแบบ Encephalartos paucidentatus ยังสามารถแยกแยะได้ง่ายกว่า Encephalartos transvenosus เนื่องจากสายพันธุ์หลังไม่มีสันตามยาวที่ด้านหลังของมัน ไม่มีใบ ในขณะที่สันดังกล่าวเกิดขึ้นที่ด้านล่างของใบย่อยทั้ง Encephalartos paucidentatus และ Encephalartos heenannii

© 2000:Mr.Prince Farm, All Rights Reserved | Awesome Theme by: D5 Creation | Powered by: WordPress